"ศิลปะที่ถูกโจรกรรม"

"ศิลปะที่ถูกโจรกรรม"

Monet - Impression, Sunrise.jpg
ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น
จิตรกรโกลด มอแน
ปีค.ศ. 1872
สื่อจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
มิติ48 cm × 63 cm (18.9 in × 24.8 in)
สถานที่พิพิธภัณฑ์มาร์มอต็องมอแนปารีสฝรั่งเศส

ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น (ฝรั่งเศสImpression, soleil levantอังกฤษImpression, Sunrise) เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบที่วาดโดยโกลด มอแน จิตรกรชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1872 ภาพมีขนาด 48 × 63 เซนติเมตร แสดงภาพทิวทัศน์ท่าเรือเมืองเลออาฟวร์ ปัจจุบันได้รับการจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์มาร์มอต็องมอแนในกรุงปารีส
ในปี ค.ศ. 1872 มอแนเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองเลออาฟวร์แล้ววาดภาพหลายภาพที่ท่าเรือ มีหกภาพที่แสดงถึงช่วงเวลาย่ำรุ่ง กลางวัน โพล้เพล้ และกลางคืนที่ท่าเรือในมุมมองที่แตกต่างกัน บางจุดวาดจากท่าเรือโดยตรง บางจุดวาดจากห้องพักในโรงแรมที่ใกล้กับท่าเรือมอแนวาดภาพ ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น จากหน้าต่างโรงแรมที่มองออกไปเห็นท่าเรือเลออาฟวร์เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1872 ต่อมาภาพนี้ถูกจัดแสดงในนิทรรศการของศิลปินนอกขนบที่กรุงปารีส ปี ค.ศ. 1874 ร่วมกับงานของศิลปินอื่น ๆ เช่น แอดการ์ เดอกากามีย์ ปีซาโรปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ และอัลเฟรด ซิสลีย์ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น เป็นภาพท่าเรือเลออาฟวร์ยามย่ำรุ่ง มีเรือเล็กสองลำที่มีผู้คนบนเรืออยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีปล่องควันเรือจักรไอน้ำและจากโรงงานเป็นเงาเลือนราง ด้านบนมีดวงอาทิตย์เป็นจุดสีแดงมีการวิเคราะห์ว่ามอแนใช้ฝีแปรงแบบหยาบและสั้นเพื่อบันทึกชั่วขณะที่วาดมากกว่าจะวาดให้ดูเหมือนจริง มาร์กาเร็ต ลิฟวิงสโตน ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า "หากทำให้ภาพนี้กลายเป็นภาพขาวดำ จะพบว่าดวงอาทิตย์ที่ปรากฏในภาพหายไปเกือบหมด" ลิฟวิงสโตนกล่าวเพิ่มว่า เทคนิคที่มอแนใช้ส่งผลต่อเปลือกสมองส่วนการเห็นที่รับรู้ถึงความส่องสว่างและสี ทำให้ผู้ชมมองเห็นดวงอาทิตย์สว่างกว่าจุดอื่น[6]
หลุยส์ เลอรัว นักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศสเผยแพร่บทความเกี่ยวกับผลงานในนิทรรศการปี ค.ศ. 1874 ในหนังสือพิมพ์ เลอชารีวารี เขาวิจารณ์ว่า ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น เป็นเพียงภาพร่างมากกว่าจะเป็นภาพที่วาดแล้วเสร็จ และกล่าวเชิงเสียดสีว่าเขารู้สึก "ประทับใจ" ภาพนี้ ต่อมาคำว่าประทับใจของเลอรัวได้รับการยอมรับแพร่หลายจนกลายเป็นชื่อลัทธิประทับใจ ขบวนการทางศิลปะช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภาพนี้เคยถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์มาร์มอต็องมอแนในปี ค.ศ. 1985 ก่อนจะถูกตามกลับคืนมาได้ในปี ค.ศ. 1990และถูกนำกลับไปจัดแสดงในปีต่อมา 

                                                                                                                                            
Edgar Germain Hilaire Degas 053.jpg
เคานต์เลอปิกและลูกสาว
จิตรกรแอดการ์ เดอกา
ปีค.ศ. 1870
ประเภทจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
สถานที่ถูกโจรกรรม
เคานต์เลอปิกและลูกสาว (อังกฤษCount Lepic and His Daughters) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยแอดการ์ เดอกาจิตรกรคนสำคัญชาวฝรั่งเศสของสมัยอิมเพรสชันนิสม์
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ภาพเขียนถูกขโมยไปจาก Foundation E.G. Bührle ในเมืองซูริกในสวิตเซอร์แลนด์

                                                                                                                                             
Figure on cliffside walkway holding head with hands
เดอะสกรีม
จิตรกรเอ็ดเวิร์ด มุงค์
ปีค.ศ. 1893
ประเภทสีน้ำมันสีฝุ่นเทมเพอรา และสีชอล์กบนกระดาษแข็ง[1]
มิติ91 cm × 73.5 cm (36 นิ้ว × 28.9 นิ้ว)
สถานที่หอศิลป์แห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์มุงค์ออสโลนอร์เวย์

เดอะสกรีม (อังกฤษThe Scream) เป็นภาพวาดโดยเอ็ดเวิร์ด มุงค์ จิตรกรชาวนอร์เวย์ เป็นภาพบุคคลแสดงสีหน้าหวาดกลัวอยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีบุคคลสองคนกำลังเดินห่างออกไป และด้านบนเป็นท้องฟ้าสีแดง ชื่อดั้งเดิมที่ตั้งโดยมุงค์ในภาษาเยอรมันคือ Der Schrei der Natur(เสียงกรีดร้องของธรรมชาติ) และ Skrik (เสียงกรีดร้อง) ในภาษานอร์เวย์ มุงค์วาดภาพนี้ไว้ 4 ภาพและทำภาพพิมพ์หินจำนวนหนึ่ง โดยแบบที่เป็นที่รู้จักดีเป็นภาพวาดสีน้ำมัน สีฝุ่นเทมเพอราและสีชอล์กบนกระดาษแข็งในปี ค.ศ. 1893 ปัจจุบันถูกจัดแสดงที่หอศิลป์แห่งชาติในกรุงออสโล
มุงค์กล่าวถึงที่มาของ เดอะสกรีม ในบันทึกส่วนตัวเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1892 ว่า
ผมกำลังเดินไปตามถนนกับเพื่อนสองคน ตอนนั้นดวงอาทิตย์กำลังตกดิน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ผมหยุด รู้สึกหมดแรงและพิงตัวกับราวกั้น มันเหมือนมีเลือดและเปลวไฟลอยอยู่เหนือฟยอร์ดและเมืองที่ผมอยู่ เพื่อนผมเดินจากไปแล้ว แต่ผมยังอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเทาด้วยความวิตก และรู้สึกได้ถึงเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากสภาพแวดล้อมนั้น
มีการระบุว่าสถานที่ในภาพคือเนินเขาเอเคเบิร์กที่มองลงไปเห็นกรุงออสโลและออสโลฟยอร์ด ซึ่งในช่วงเวลาที่มุงค์วาดภาพนี้ เขามาเยี่ยมน้องสาวที่ป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วที่โรงพยาบาลจิตเวชที่ตั้งอยู่ที่ตีนเขา ในปี ค.ศ. 1978 รอเบิร์ต โรเซนบลัม นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอเมริกันเสนอว่ามุงค์อาจได้รับแรงบันดาลใจในการวาดบุคคลที่แสดงสีหน้าหวาดกลัวมาจากมัมมี่เปรูที่มุงค์เห็นในงานนิทรรศการโลกที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1889
มีความพยายามในการอธิบายถึงสีท้องฟ้าในภาพ ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่ามาจากความทรงจำของมุงค์ที่เห็นท้องฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการปะทุของภูเขาไฟกรากะตัวเมื่อสิบปีก่อน ส่งผลให้ท้องฟ้ายามเย็นของซีกโลกตะวันตกมีสีแดงจัดนานหลายเดือน ในขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าเป็นผลมาจากเมฆ nacreous cloud หรือ polar stratospheric cloud ซึ่งเป็นเมฆที่ก่อตัวที่ชั้นสตราโตสเฟียร์และเกิดการเลี้ยวเบนของแสงจนปรากฏเป็นสีรุ้ง
เดอะสกรีม เป็นหนึ่งในผลงานที่เป็นที่รู้จักดีของมุงค์ และเป็นหนึ่งในผลงานที่ส่งผลให้เกิดกลุ่มลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สีหน้าที่แสดงถึงความหวาดวิตกและสภาพแวดล้อมที่บิดเบี้ยว ทำให้ภาพนี้มักถูกเชื่อมโยงกับความผิดปกติทางจิตนอกจากนี้ยังส่งอิทธิพลต่อผลงานอื่น ๆ ในยุคหลัง เช่น หน้ากากโกสต์เฟซในภาพยนตร์ หวีดสุดขีด, ตัวละครไซเลนซ์ในซีรีส์ ดอกเตอร์ฮู และงานล้อเลียนอีกจำนวนมาก

                                                                                                                                             

Madonna of the Yarnwinder.jpg
พระแม่มารีกับไม้ปั่นด้าย
จิตรกรเลโอนาร์โด ดา วินชี
ปีราว ค.ศ. 1501
ประเภทภาพเขียนสีน้ำมัน
สถานที่งานสะสมส่วนบุคคล นครนิวยอร์ก

พระแม่มารีกับไม้ปั่นด้าย (ภาษาอังกฤษ: Madonna of the Yarnwinder) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชีจิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลี ที่เป็นงานสะสมส่วนบุคคล
“พระแม่มารีกับไม้ปั่นด้าย” ราว ค.ศ. 1501 เป็นหัวเรื่องของภาพสีน้ำมันหลายภาพที่เขียนหลังจากที่ภาพเขียนต้นฉบับสูญหายไป เป็นภาพของพระแม่มารีและพระบุตรที่ต่างมองไม้ปั่นด้ายที่พระแม่มารีใช้ด้วยความละห้อย ไม้ปั่นด้ายเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความอยู่กับเรือนและสัตยกางเขน (True Cross) ที่พระเยซูจะทรงถูกตรึงต่อมา หรืออาจจะเป็นนัยถึงชะตาซึ่งในตำนานสมัยโบราณใช้ไม้ปั่นด้ายเป็นสัญลักษณ์ ภาพนี้มีด้วยกันอย่างน้อยสามภาพที่เป็นของส่วนบุคคล สองภาพอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งภาพหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ “พระแม่มารีแลนด์สดาวน์” (The Landsdowne Madonna)
ภาพเขียนต้นฉบับอาจจะเป็นงานที่จ้างโดยฟลอริมุนด์ โรแบร์เตท์องคมนตรีต่างประเทศในพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส

                                                                                                                                          

Rembrandt Christ in the Storm on the Lake of Galilee.jpg
พระเยซูผจญพายุในทะเลแกลิลี
จิตรกรแร็มบรันต์ 
ปีค.ศ. 1633
ประเภทจิตรกรรมสีน้ำมันบนไม้
สถานที่พิพิธภัณฑ์อิซาเบลลา สจวต การ์ดเนอร์บอสตัน
พระเยซูผจญพายุในทะเลแกลิลี (ดัตช์Christus in de storm op het meer van GalileaอังกฤษThe Storm on the Sea of Galilee) เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันที่เขียนโดยแร็มบรันต์ จิตรกรชาวดัตช์คนสำคัญของยุคทองของเนเธอร์แลนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นภาพที่ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อิซาเบลลา สจวต การ์ดเนอร์ (ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา) ก่อนที่จะถูกขโมยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1990 

                                                                                                                                          

   
Rembrandt Harmensz van Rijn - Jacob III de Gheyn - Google Art Project.jpg
ยาโกบ เดอ ไคน์ที่ 3
จิตรกรแร็มบรันต์
ปีราว ค.ศ. 1632
ประเภทจิตรกรรมสีน้ำมันบนไม้
สถานที่หอศิลป์ดัลลิช, ลอนดอน
ยาโกบ เดอ ไคน์ที่ 3 (ดัตช์Jacob de Gheyn III หรือ Jacob III de Gheyn) เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันที่เขียนโดยแร็มบรันต์ จิตรกรคนสำคัญชาวดัตช์ของยุคทองของเนเธอร์แลนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์ดัลลิช (Dulwich) ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
ภาพ "ยาโกบ เดอ ไคน์ที่ 3" ที่แร็มบรันต์เขียนราวปี ค.ศ. 1632 เป็นภาพเหมือนของยาโกบ เดอ ไคน์ที่ 3 นักแกะภาพพิมพ์ (engraving) ชาวดัตช์ ซึ่งเป็นภาพคู่กับภาพเหมือนของเพื่อนของไคน์ เมาริตส์ เฮยเคินส์ที่แต่งตัวคล้ายคลึงกัน และหันหน้าเข้าหากัน
ภาพเขียนภาพนี้มีขนาดเล็กกว่าภาพเขียนส่วนใหญ่ที่แร็มบรันต์เขียน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาพเขียนนี้ง่ายต่อการโจรกรรม

                                                                                                                                        




ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม